ใครกำลังวางแผนเรียนต่อ ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรอินเตอร์ในไทย หรือไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ หนึ่งสิ่งที่ต้องเจอแน่ๆ คือ การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ ซึ่งหลายมหาวิทยาลัยเขาก็จะดูจากผลคะแนน “IELTS” เพื่อประเมินว่าเรามีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีพอสำหรับการเรียนหรือไม่ สำหรับน้องๆ คนไหนที่รู้ตัวว่าต้องใช้คะแนนสอบนี้ มาลองเช็กกันดูหน่อยว่า IELTS สอบอะไรบ้าง? IELTS ควรได้เท่าไหร่? และจะเตรียมตัวยังไงให้ผ่าน IELTS ได้อย่างราบรื่น
IELTS คืออะไร?
คะแนน IELTS คือ ผลการสอบ IELTS หรือ International English Language Testing System ซึ่งเป็นการสอบวัดระดับทักษะภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล นำไปใช้ยื่นสมัครเรียนต่อ สมัครงาน หรือย้ายถิ่นฐานได้ โดยเฉพาะประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น ออสเตรเลีย, แคนาดา, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา ในประเทศไทยมีศูนย์สอบ 2 แห่ง คือ IDP IELTS และ British Council สามารถเลือกสอบได้ทั้งแบบกระดาษ (Paper-based) และสอบผ่านคอมพิวเตอร์ (Computer-delivered)
1. รูปแบบการสอบ (Academic และ General Training)
การสอบ IELTS แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ Academic และ General Training หลัก ๆ ได้แก่
- Academic สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี (ภาคอินเตอร์), ปริญญาโท, และปริญญาเอก ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงใช้สมัครงานในองค์กรที่ต้องการทักษะภาษาอังกฤษขั้นสูง
- General Training สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี หรือเข้าคอร์สอบรม รวมถึงทำงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง หรือยื่นขอวีซ่าเพื่อย้ายถิ่นฐาน
ทั้งสองประเภทมีการสอบในพาร์ท Speaking และ Listening ที่เหมือนกัน แต่จะต่างกันในพาร์ท Reading และ Writing ซึ่ง General Training จะง่ายกว่า Academic นอกจากนี้การสอบ Academic ยังสามารถสอบออนไลน์ได้ด้วยค่ะ
2. โครงสร้างข้อสอบ
การสอบ IELTS ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่
- การฟัง (Listening) : 4 พาร์ท 40 ข้อ 30 นาที
พาร์ทนี้จะทดสอบทักษะการฟัง โดยเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน บทสนทนาระหว่าง 2 บุคคล บทสนทนาแบบกลุ่ม บทสนทนาที่เกี่ยวกับหัวข้อทางวิชาการ ข้อสอบจะเป็นแบบเขียนทั้งหมด
- การอ่าน (Reading) : 3 พาร์ท 40 ข้อ 60 นาที
พาร์ทนี้จะทดสอบการอ่านบทความรูปแบบต่างๆ เช่น เรื่องสั้น บทความจากหนังสือ นิตยสาร บทความที่เป็นการอภิปรายโต้แย้ง อาจมีแผนผัง กราฟ หรือภาพประกอบด้วย
- การเขียน (Writing) : 2 พาร์ท 60 นาที
พาร์ทแรกต้องเขียนอธิบายข้อมูลในแผนภาพ เช่น กราฟ ตาราง อย่างน้อย 150 คำ ส่วนพาร์ทที่ 2 ต้องเขียนแสดงความคิดเห็นอย่างน้อย 250 คำ เกณฑ์คะแนน IELTS จะดูทั้งความถูกต้องของไวยากรณ์ การใช้คำศัพท์ คำเชื่อม รวมถึงการจัดระเบียบความคิด
- การพูด (Speaking) : ประมาณ 11 – 14 นาที
เป็นการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว เพื่อดูความคล่องแคล่วในการตอบ การออกเสียง การใช้ไวยากรณ์ รวมถึงการใช้คำศัพท์ที่หลากหลาย และเหมาะสมกับบริบท โดยจะมีตั้งแต่คำถามทั่วไปในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการแสดงความคิดเห็นในหัวข้อที่ยากขึ้น
คะแนน IELTS ที่ต้องการในแต่ละระดับการศึกษา
คะแนน IELTS เต็มเท่าไหร่? คำตอบคือ คะแนนเต็มของ IELTS คือ 9.0 ซึ่งมาจากคะแนนทั้ง 4 พาร์ท ที่นำไปแปลงเป็น Band Score ตั้งแต่ 1 – 9 จากนั้นจึงนำมารวมกันแล้วหารด้วย 4 โดยปัดเศษให้ใกล้เคียง 0.5 ที่สุด เช่น ได้คะแนน 6.25 จะปัดเป็น 6.5 แต่ถ้าได้คะแนน 6.75 จะปัดเป็น 7.0 ส่วนคำถามที่ว่าคะแนน IELTS ควรได้เท่าไหร่? ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การเทียบคะแนน IELTS เป็นเพียงการบอกระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษ ไม่ได้มีเกณฑ์ว่าเท่าไหร่จึงจะผ่าน แต่มีเกณฑ์ที่แต่ละมหาวิทยาลัย หรือแต่ละสาขาวิชา กำหนดไว้ในการรับสมัคร ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 6.0 ขึ้นไป มีเพียงส่วนน้อยที่ใช้คะแนน 5.0 – 5.5
ระดับปริญญาตรี
IELTS ยื่นคณะอะไรได้บ้าง? คะแนน IELTS ใช้ยื่นเพื่อเรียนคณะน่าสนใจที่เป็นหลักสูตรนานาชาติได้แทบจะทุกมหาวิทยาลัย แต่ส่วนใหญ่จะต้องมีคะแนนอย่างน้อย 6.0 ขึ้นไป เช่น
- คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (BALAC) ใช้คะแนน IELTS 7.0 ขึ้นไป
- คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (BCM) ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
- คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ISE) ใช้คะแนน IELTS 6.0 ขึ้นไป
- คณะวิทยาศาสตร์ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ใช้คะแนน IELTS 6.0 ขึ้นไป และต้องได้คะแนนในพาร์ท Writing อย่างน้อย 6.0
- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป และต้องได้คะแนนทุกพาร์ทไม่ต่ำกว่า 6.0
ระดับปริญญาโท
สำหรับการเรียนต่อปริญญาโทในไทย ส่วนใหญ่คะแนน IELTS แต่ละมหาลัยจะเริ่มต้นที่ 6.0 แต่หากเป็นมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ หรือมหาวิทยาลัยชั้นนำ อาจต้องใช้ 6.5 – 7.0 ขึ้นไป เช่น
- Master of Management (MM) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
- คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ใช้คะแนน IELTS 6.0 ขึ้นไป
- หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA) วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ใช้คะแนน IELTS 6.0 ขึ้นไป
- University of Cambridge ใช้คะแนน IELTS 7.0 ขึ้นไป
- Harvard University ใช้คะแนน IELTS 7.0 ขึ้นไป
ระดับปริญญาเอก
คะแนน IELTS สำหรับเรียนต่อปริญญาเอกส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 6.5 – 7.5 ขึ้นไป เช่น
- คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
- วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
- สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
การเรียนคอร์สภาษาอังกฤษหรือหลักสูตรปรับพื้นฐาน
สำหรับคอร์สเรียนภาษาทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้คะแนน IELTS ส่วนคนที่จะเรียนต่อปริญญาตรีในต่างประเทศ บางมหาวิทยาลัยสามารถใช้คะแนน 5.5 ยื่นได้ แต่จะต้องเรียนปรับพื้นฐานเพิ่ม
เกณฑ์คะแนน IELTS ของแต่ละประเทศ
สำหรับการเรียนต่อต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน จะมีเกณฑ์คะแนนสอบ IELTS ที่แต่ละประเทศกำหนดไว้ว่าผู้สมัครต้องได้คะแนนเท่าไหร่ เช่น
สหรัฐอเมริกา
คะแนน IELTS สำหรับศึกษาต่อมหาวิทยาลัย ในสหรัฐอเมริกา เฉลี่ยอยู่ที่ 6.0 – 6.5 แต่หากเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำอาจสูงกว่านั้น ตัวอย่างเช่น
- Harvard University ใช้คะแนน IELTS 7.0 ขึ้นไป
- Princeton University ใช้คะแนน IELTS 8.0 ขึ้นไป
- Columbia University ใช้คะแนน IELTS 7.5 ขึ้นไป
- University of California, Los Angeles (UCLA) ใช้คะแนน IELTS 7.0 ขึ้นไป
- University of Texas at Austin ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
- University of Washington หลักสูตรปริญญาตรี ใช้คะแนน IELTS 6.0 ขึ้นไป หลักสูตรปริญญาโท ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
สหราชอาณาจักร
คะแนน IELTS สำหรับศึกษาต่อมหาวิทยาลัย ในสหราชอาณาจักร เฉลี่ยอยู่ที่ 6.5 – 7.0 ตัวอย่างเช่น
- University of Cambridge ใช้คะแนน IELTS 7.0 ขึ้นไป
- Imperial College London ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
- University of Bristol ใช้คะแนน IELTS 6.0 ขึ้นไป
- University of Sheffield หลักสูตรปริญญาตรี ใช้คะแนน IELTS 6.0 ขึ้นไป หลักสูตรปริญญาโท ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
แคนาดา
คะแนน IELTS สำหรับศึกษาต่อมหาวิทยาลัย ระดับปริญญาตรี ในแคนาดา เฉลี่ยอยู่ที่ 6.0 – 6.5 โดยแต่ละพาร์ทต้องไม่ต่ำกว่า 5.5 ส่วนระดับปริญญาโทควรมีคะแนน IELTSรวม 6.5 – 7.0 และแต่ละพาร์ทไม่ต่ำกว่า 6.0 ตัวอย่างเช่น
- University of Toronto หลักสูตรปริญญาตรี ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป หลักสูตรปริญญาโท ใช้คะแนน IELTS 7.0 ขึ้นไป
- University of Montreal ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
- University of British Columbia ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
- University of Waterloo หลักสูตรปริญญาตรี ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป หลักสูตรปริญญาโท ใช้คะแนน IELTS 7.0 ขึ้นไป
ออสเตรเลีย
คะแนน IELTS สำหรับศึกษาต่อมหาวิทยาลัย ในออสเตรเลีย ขั้นต่ำอยู่ที่ 6.0 – 6.5 และต้องมีคะแนนในแต่ละพาร์ทไม่ต่ำกว่า 5.5 ตัวอย่างเช่น
- University of Melbourne หลักสูตรปริญญาตรี ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป หลักสูตรปริญญาโท ใช้คะแนน IELTS 7.0 ขึ้นไป
- Monash University ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
- University of Newcastle หลักสูตรปริญญาตรี ใช้คะแนน IELTS 6.0 ขึ้นไป หลักสูตรปริญญาโท ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
- University of Tasmania ใช้คะแนน IELTS 6.0 ขึ้นไป
นิวซีแลนด์
คะแนน IELTS สำหรับศึกษาต่อมหาวิทยาลัย ในนิวซีแลนด์ ขั้นต่ำอยู่ที่ 6.0 ตัวอย่างเช่น
- University of Melbourne หลักสูตรปริญญาตรี ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป หลักสูตรปริญญาโท ใช้คะแนน IELTS 7.0 ขึ้นไป
- Monash University ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
- University of Auckland ใช้คะแนน IELTS 6.0 ขึ้นไป
- University of Newcastle หลักสูตรปริญญาตรี ใช้คะแนน IELTS 6.0 ขึ้นไป หลักสูตรปริญญาโท ใช้คะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
ค่าใช้จ่ายในการสอบ IELTS
ค่าใช้จ่ายในการสอบ IELTS จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของการสอบที่เลือกและศูนย์สอบในประเทศไทย โดยทั่วไปมีดังนี้:
- IELTS Academic และ General Training
ค่าใช้จ่ายสำหรับการสอบทั้ง IELTS Academic และ IELTS General Training อยู่ที่ประมาณ 7,500 – 8,000 บาท ขึ้นอยู่กับศูนย์สอบ เช่น British Council หรือ IDP Education
- IELTS for UKVI (UK Visas and Immigration)
หากต้องการสอบเพื่อใช้ในการสมัครวีซ่าของสหราชอาณาจักร (UKVI) ค่าธรรมเนียมจะสูงกว่า โดยอยู่ที่ประมาณ 8,800 – 9,500 บาท
- IELTS Life Skills
สำหรับผู้ที่ต้องการสอบเพื่อยื่นวีซ่าประเภท Family Visa หรือวีซ่าที่เกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานในสหราชอาณาจักร ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 6,500 – 7,000 บาท
อย่างไรก็ตาม เราควรตรวจสอบราคาที่แน่นอนกับศูนย์สอบแต่ละแห่งเพราะค่าสอบอาจมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละปี รวมถึงอาจค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วยหากเลือกสอบผ่านคอมพิวเตอร์ (Computer-delivered)
คำแนะนำสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้คะแนนตามเกณฑ์
สำหรับคนที่สอบแล้วระดับคะแนน IELTS ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องการ ก็ไม่ต้องเสียใจไปนะคะ แค่เตรียมตัวสอบ IELTS ให้พร้อมในครั้งถัดไป รับรองว่าโอกาสในการทำคะแนนให้ดีขึ้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน
-
สมัครสอบใหม่
จะนับว่าเป็นข้อดีของ IELTS เลยก็ว่าได้ที่สามารถสอบได้แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง และยังเปิดให้สอบตลอดทั้งปีเลยค่ะ โดยในกรุงเทพจะมีจัดสอบแบบคอมพิวเตอร์ (Computer-delivered) ทุกวัน และจัดสอบแบบกระดาษ (Paper-based) สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ส่วนในจังหวัดอื่นๆ ก็มีอย่างน้อยเดือนละ 1 – 2 ครั้ง นอกจากนี้ยังสามารถส่งคะแนน IELTS ไปมหาลัยโดยตรง เช่น ส่งคะแนน IELTS ไปมหาลัย ผ่าน British Council หรือส่งคะแนน IELTS ไปมหาลัย ผ่าน IDP ได้ในบางคณะด้วยค่ะ เช่น BBA, EBA, BALAC ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะยื่นไม่ทัน เตรียมตัวดีๆ แล้วรีบสอบใหม่ ยังไงก็ต้องทันแน่ๆ
-
วิเคราะห์จุดอ่อน
ก่อนที่จะกลับไปลงสนาม ลองเอาประสบการณ์จากการสอบครั้งก่อนมาทบทวนดูหน่อยว่ามีส่วนไหนที่พลาดไป หรืออะไรที่ควรปรับปรุง เช่น บางคนเขียน Writing ไม่ทัน หรือบางคนพูดไม่คล่อง ตอบไม่ได้ ไม่เข้าใจคำศัพท์ เมื่อรู้จุดอ่อนแล้วก็จะหาวิธีแก้ไขได้ง่ายขึ้น
-
เลือกเรียนในสถาบันที่มีคอร์สปรับพื้นฐาน
สำหรับน้องๆ ที่พื้นฐานไม่แน่น อ่านเองไม่เข้าใจ แนะนำให้เรียนคอร์สปรับพื้นฐานก่อนเพราะถ้าเราไม่เข้าใจพื้นฐาน เวลาเรียนเรื่องที่ยากขึ้นก็จะยิ่งไม่เข้าใจ เอาไปใช้ก็ไม่ถูก ยิ่งเรียนก็ยิ่งสับสนจนรู้สึกท้อ ดังนั้นจึงต้องแก้ที่ต้นเหตุ ด้วยการฝึกภาษาอังกฤษแบบถูกวิธี คุณครูเขาจะมีเทคนิคดีๆ ที่ช่วยให้เรียนรู้ได้ไว และทำคะแนนสอบได้ดีขึ้นด้วย
-
ฝึกทำข้อสอบ
ปัจจุบันมีหลายเว็บที่สามารถเข้าไปฝึกทำข้อสอบ IELTS ได้ฟรี ทั้งเว็บของ IELTS และ British Council รวมถึงเว็บอื่นๆ เช่น IELTS Online Tests, IELTS Buddy, Magoosh การฝึกทำข้อสอบบ่อยๆ นอกจากจะช่วยให้จับแนวทางข้อสอบได้ ยังช่วยให้บริหารเวลาให้ดีขึ้นด้วย แนะนำให้จับเวลาตามการสอบจริงไปเลยค่ะ แล้วอย่าลืมฝึกพูด ฝึกฟังบ่อยๆ ด้วยนะ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
นอกจากข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับการสอบ IELTS บทความนี้ยังรวบรวมคำถามที่หลายคนสงสัยมาตอบให้ด้วย
-
IELTS มีอายุคะแนนเท่าไหร่?
ผลสอบ IELTS ทั้ง Academic และ General Training มีอายุ 2 ปี
-
ถ้าคะแนนไม่ถึงเกณฑ์จะทำอย่างไร?
คนที่ได้คะแนนไม่ถึงเกณฑ์ ต้องเตรียมตัวสอบใหม่เท่านั้น ไม่สามารถสอบซ่อมได้
-
ควรเริ่มเตรียมตัวสอบตั้งแต่เมื่อไหร่?
ระยะเวลาในการเตรียมตัวขึ้นอยู่กับทักษะภาษาอังกฤษ หากมีทักษะที่ดีอยู่แล้ว อาจใช้เวลาเตรียมตัวเพียงแค่ 1 เดือน แต่หากพื้นฐานไม่แข็งแรง ควรจะต้องใช้เวลาเตรียมตัวอย่างน้อย 6 เดือน – 1 ปี
สำหรับน้องๆ คนไหนที่กำลังเตรียมตัวสอบ IELTS หรือสอบแล้วไม่ผ่าน อย่าเพิ่งท้อนะคะ ความฝันของเราสำเร็จได้แน่! EFL Learning Centre พร้อมเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่จะช่วยให้น้องๆ ก้าวไปสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นใจ ด้วย หลักสูตรเตรียมความพร้อม IELTS Preparation ที่ผ่านการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน และการจัดการเวลาในการสอบ นอกจากนี้ หลักสูตรยังมุ่งเน้นการเรียนรู้กลยุทธ์ในการพิชิตข้อสอบ เช่น การวิเคราะห์คำถาม เทคนิคการเขียนให้ได้คะแนนสูง และการตอบคำถาม Speaking ให้โดนใจผู้คุมสอบ เพื่อให้ทุกคนสามารถทำคะแนนได้ตามเป้าหมาย
EFL Learning Centre ยังมีบริการสอบจำลอง Mock IELTS ที่จะช่วยประเมินระดับความสามารถปัจจุบันและจัดทำโปรแกรมการฝึกอบรมที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคล การสอบจำลองนี้จะช่วยให้น้องๆ คุ้นเคยกับรูปแบบข้อสอบและเพิ่มความมั่นใจก่อนการสอบจริงค่ะ นอกจากนี้ EFL Learning Centre ยังเป็นสถาบันสอนภาษาแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลถึงสองมาตรฐานจากสหราชอาณาจักร ด้วยบรรยากาศการเรียนรู้ที่เป็นสากลและทีมครูผู้สอนที่มีประสบการณ์จากทั่วโลก สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอคำปรึกษา สามารถติดต่อทีม EFL Learning Centre ได้เลยนะคะ