การเลือกมหาวิทยาลัยถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับอนาคต ยิ่งถ้าได้ไปเรียนต่อต่างประเทศในมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับ Top U ของโลก จะทำให้เราได้เปิดโลก ไปเจอสภาพแวดล้อมดีๆ คนเก่งๆ ได้อัปสกิลเพิ่มความสามารถ เวลาเรียนจบแล้วไปสมัครงานส่วนใหญ่ใครๆ ก็อยากรับ แต่แน่นอนว่าการจะเดินไปถึงจุดนั้นได้มันก็ไม่ง่ายนัก จึงจำเป็นต้องมีการวางแผน และเตรียมตัวอย่างรอบคอบตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ มาดูกันเลยว่าถ้าอยากจะพิชิต Top U ให้ได้ ต้องทำอย่างไรบ้าง!

 

 

ทำความเข้าใจว่า Top U คืออะไร?

 

 

Top U ย่อมาจาก Top University คือ มหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพและชื่อเสียงอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งตำแหน่งนี้ไม่ใช่ว่าใครจะตั้งขึ้นมาเองก็ได้ แต่ต้องผ่านการจัดอันดับจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น Times Higher Education (THE)Quacquarelli Symonds (QS)Center for World University Rankings (CWUR) ฯลฯ ยิ่งถ้าติดอันดับหลายสำนัก ก็การันตีได้เลยว่ามหาวิทยาลัยนั้นดี มีคุณภาพและมาตรฐานอยู่ในระดับสูง เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งแต่ละสำนักเขาก็จะมีเกณฑ์การพิจารณาที่แตกต่างกัน อาทิ

รายชื่อ Top U ระดับโลก

 

 

Top U มีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก และแต่ละที่ก็ยังมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องหลักสูตร สาขาวิชา ค่าใช้จ่าย ไปจนถึงสังคมและวัฒนธรรม หากยังเลือกไม่ถูกว่าจะไปเรียนต่างประเทศที่ไหนดี ลองมาดูรายชื่อมหาลัยต่างประเทศเหล่านี้เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจกันเลย

 

มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก

 

มหาวิทยาลัยที่โดดเด่นในแต่ละสายการเรียน

คุณสมบัติของผู้สมัครที่ Top U ต้องการ

 

 

ใครอยากเข้าไปเรียนในมหาลัยต่างประเทศดังๆ ระดับ Top U มาเช็กลิสต์กันก่อนเลยว่าคุณสมบัติที่มหาวิทยาลัยต้องการมีอะไรบ้าง แล้วเรามีคุณสมบัติครบถ้วนไหม หรือยังมีตรงไหนที่ขาดไปบ้าง จะได้นำไปพัฒนาและเตรียมตัวได้ถูก

ผู้ที่จะสมัครเรียนในมหาวิทยาลัยระดับโลก ควรมีเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.5 ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ของแต่ละมหาวิทยาลัยด้วย บางมหาวิทยาลัยอาจมีการกำหนดเกรดเฉลี่ยไว้อย่างชัดเจน แต่บางมหาวิทยาลัยอย่าง Harvard University หรือ Yale University ก็ไม่มีการกำหนดเกรดเฉลี่ยขั้นต่ำ เพราะเขาจะนำคะแนนสอบและผลงานส่วนอื่นๆ มาพิจารณาด้วย

ขึ้นอยู่กับแต่ละคณะ ผู้จะสมัครมีระดับภาษาอังกฤษในระดับเจ้าของภาษา IELTS ในคณะที่ต้องใช้ทักษะภาษาอังกฤษสูง เช่น แพทย์ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ผลการสอบ IGCSE และ International A-Level ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยและแต่ละหลักสูตรอาจต้องการไม่เหมือนกัน รวมถึงเกณฑ์คะแนนที่กำหนดไว้ก็ต่างกันด้วย เพราะฉะนั้นเวลาอ่านเงื่อนไขการรับสมัครจึงต้องดูให้ละเอียด บางมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น University of Oxford ไม่รับวุฒิม.6 ของไทย และไม่รับผลสอบคะแนนในวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง (ESL) จะรับเฉพาะผู้ที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรก (EFL – English as A First Language) เท่านั้น หากน้องๆ อยากเรียนต่อคณะอะไร มหาวิทยาลัยไหนเป็นพิเศษ สามารถปรึกษาพี่ๆ ผู้เชี่ยวชาญจาก EFL Learning Centre ได้เลยนะคะ 

นอกจากผลการเรียน มหาวิทยาลัยต่างประเทศยังให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่ทำระหว่างเรียนด้วย เพราะฉะนั้นน้องๆ ก็ควรจะสะสมผลงาน หรือประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่อยากเรียนเอาไว้เยอะๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรามีความมุ่งมั่นและสนใจในด้านนี้จริงๆ เช่น ถ้าอยากเรียนมหาวิทยาลัยดนตรีระดับโลก ก็ควรจะมีผลงานในการแสดง เข้าประกวดหรือแข่งขันรายการใหญ่ๆ ทำกิจกรรมอาสา เช่น สอนดนตรี เล่นดนตรีในโรงพยาบาล เป็นต้น

มหาลัยติดอันดับโลกไม่ได้มองหาแค่คนที่เรียนดี แต่ยังอยากได้คนที่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ มีทัศนคติที่ดี คิดเป็น แก้ปัญหาเก่ง และพร้อมเติบโตไปเป็นผู้นำที่ดีในอนาคต ซึ่งเขาก็จะดูจากหลายๆ ส่วนประกอบกัน เช่น กิจกรรมที่ทำ บางคนอาจจะเคยเป็นหัวหน้าห้อง, หัวหน้าชมรม, กรรมการนักเรียน, แข่งกีฬาเป็นทีม หรือดูจากการเขียน Essay, จดหมายรับรองของอาจารย์, การสัมภาษณ์ เป็นต้น

 

เตรียมตัวอย่างไรให้ติด Top U?

 

 

Top University ทุกที่ล้วนขึ้นชื่อว่าเข้ายากและการแข่งขันสูง อย่าง MIT มหาลัยที่ดังที่สุดในโลก ก็มีอัตราการรับเข้าเรียนอยู่แค่ 4.5 % ซึ่งก็หมายความว่า ในผู้สมัครทุก 100 คน จะมีประมาณ 4-5 คนเท่านั้นที่ได้รับการตอบรับ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็อย่าเพิ่งท้อหรือยอมแพ้นะคะ หากมีการเตรียมตัวที่ดี โอกาสที่จะทำความฝันให้สำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเลย เพราะฉะนั้นมาเริ่มเตรียมตัวกันเลยดีกว่า

ด้านวิชาการ

ก่อนอื่นต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าอยากไปเรียนในสาขาหรือคณะอะไร ที่มหาวิทยาลัยไหน หลังเรียนจบอยากทำงานอะไร แล้วลองมองหาหลักสูตรที่ตรงกับความต้องการ อาจจะเลือกเผื่อไว้สัก 2-3 ตัวเลือกก็ได้ พอเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน ก็จะวางแผนได้ง่ายขึ้นว่าตอนนี้ควรเรียนอะไรบ้างเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสมัคร เช่น ถ้าอยากไปเรียนในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักแต่ไม่ได้เรียนอินเตอร์มา ก็ต้องฝึกภาษาอังกฤษเพิ่มให้เก่ง ทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน 

น้องๆ ควรจัดลำดับความสำคัญว่าวิชาไหนยาก – ง่าย วิชาไหนถนัด คะแนนอันไหนจำเป็น เช่น ปกติข้อสอบเลขจะออกเรื่องตรีโกณมิติแค่ 2 – 3 ข้อ ก็อาจจะเก็บไว้อ่านทีหลัง เพื่อที่จะเอาเวลาที่มีไปอ่านเรื่องที่ออกเยอะกว่าให้ทันก่อน แต่ถ้าเรื่องนี้ออกเยอะแล้วเราก็ไม่ถนัดด้วย ก็ต้องเริ่มติวให้หนักๆ ทำเป็นสรุปออกมาให้อ่านง่าย และลองเอาข้อสอบเก่ามาทำดู พร้อมจับเวลาไปด้วยให้เหมือนตอนสอบจริง

การสอบวัดระดับแต่ละประเภทมีกำหนดการแตกต่างกัน เช่น การสอบ IELTS และ TOEFL มีจัดสอบทุกวัน แต่ SAT เปิดสอบแค่ 4 ครั้งต่อปี ส่วน IGCSE เปิดสอบแค่ 2 ครั้งต่อปีเท่านั้น จึงต้องเช็กรายละเอียดการรับสมัครให้ดีว่าไปเรียนต่างประเทศต้องสอบอะไรบ้าง ใช้คะแนนเท่าไหร่ เพื่อที่จะวางแผนสอบให้ทัน แนะนำให้เริ่มสอบตั้งแต่ ม.5 เลยค่ะ เพราะส่วนใหญ่คะแนนจะเก็บไว้ได้ 2 ปี เผื่อในกรณีที่คะแนนไม่ถึง จะได้มีเวลาเตรียมตัวสอบใหม่

 

ด้านกิจกรรมนอกห้องเรียน

ถึงจะต้องทุ่มเทเวลาให้กับการเตรียมตัวสอบมากแค่ไหน ก็อย่าลืมแบ่งเวลามาทำกิจกรรมกันด้วยนะคะ คอยอัปเดตดูว่าที่ไหนมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เราอยากจะเรียน หรือกิจกรรมที่แสดงให้เห็นว่าเรามี Soft Skill ในหลายๆ ด้าน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นกิจกรรมที่ได้รางวัลเสมอไปก็ได้ เช่น เข้าค่าย เข้าร่วมอบรม เวิร์กชอป ทำกิจกรรมจิตอาสา ฯลฯ 

ระหว่างนี้แนะนำให้เตรียม Portfolio ไปด้วย จะได้รู้ว่าขาดเหลืออะไร บางคนกิจกรรมน้อยมาก ผลงานแทบไม่มี ถ้ามาทำตอนหลังก็อาจจะไม่ทัน นอกจากนี้ผลงานที่นำมาใส่ก็ควรจะคัดเฉพาะอันที่โดดเด่นจริงๆ เกี่ยวข้องกับคณะที่จะสมัคร และอยู่ในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ทำออกมาเป็นรูปเล่มให้ดูสวยงาม ออกแบบสร้างสรรค์ตามสไตล์ของตัวเองได้ แต่พยายามจัดเรียงเนื้อหาให้เป็นระเบียบ เน้นอ่านง่าย สบายตาเข้าไว้ดีที่สุด      

 

ด้านการสมัครและการเขียน Essay

Statement of Purpose หรือ Personal Statement คือการเขียนแนะนำตัวเองเพื่อบอกให้ผู้รับสมัครรู้ว่าเราเป็นใคร เรียนอะไรมา เคยทำอะไรมาบ้าง มีความโดดเด่นอย่างไร ทำไมมหาลัยติดอันดับเหล่านี้ถึงควรจะรับเรา โดยทั่วไปความยาวจะอยู่ที่ 1,000 คำ เพราะฉะนั้นต้องพยายามเขียนให้กระชับ ตรงประเด็น เริ่มต้นด้วยประโยคที่น่าดึงดูด เช่น ทำไมอยากเรียนคณะนี้ สาขานี้ เขียนเหมือนกำลังเล่าเรื่องให้ผู้อ่านเห็นภาพ พยายามเชื่อมโยงทักษะและประสบการณ์ทั้งหมดให้เข้ากับสาขาที่จะเรียน รวมถึงบอกเป้าหมายในอนาคตด้วยว่าแพลนหลังเรียนจบจะทำอะไร 

โจทย์ที่ทางมหาวิทยาลัยให้มามักเป็นคำถามแบบเปิด ไม่มีผิดหรือถูก เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะตอบไปแล้วจะผิด แค่ตอบให้ตรงประเด็น และมีเหตุผล มีที่มาที่ไปว่าทำไมเราถึงคิดแบบนี้ เวลาเขียนให้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ บทนำ เนื้อหา และสรุป โดยใส่ Topic Sentence หรือคำตอบไว้ในย่อหน้าแรก จากนั้นค่อยใส่ Supporting Sentence หรือข้อมูลที่สนับสนุนคำตอบในส่วนเนื้อหา และปิดท้ายด้วยการสรุปใจความทั้งหมดสั้นๆ อีกครั้ง โดยอาจจะเพิ่มความน่าสนใจด้วยการสรุปแบบปลายเปิด เชิญชวน หรือตั้งคำถามให้ผู้อ่านคิดตามก็ได้ 

การขอ Recommendation Letter ควรจะขอเตรียมไว้ล่วงหน้า เพราะอาจารย์ หรือหัวหน้างาน อาจมีภาระหน้าที่อื่นๆ ต้องทำ ดังนั้นต้องเผื่อเวลาให้เขาด้วย เลือกคนที่น่าเชื่อถือ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งใหญ่โต แต่ควรเป็นคนที่สนิทและรู้จักเราเป็นอย่างดี พร้อมแนบข้อมูล เช่น ชื่อ วิชาที่เคยเรียน ผลการเรียน หรือกิจกรรมที่ทำ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เขาเขียนได้ง่ายขึ้นและตรงกับที่เราต้องการ 

 

ช่องทางและแหล่งข้อมูลที่ช่วยในการสมัคร

 

 

นอกจากการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ แล้ว ก็อย่าลืมอัปเดตข่าวสารกันเป็นประจำด้วยนะคะ จะได้ไม่พลาดโอกาสในการสมัคร เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยอาจมีการเปิดรับในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดยสามารถติดตามได้ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้

น้องๆ สามารถเข้าไปเช็กรายละเอียดบนเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยได้โดยตรง หรือแพลตฟอร์มส่วนกลางที่ใช้ในการสมัครเรียน เช่น Common App ของสหรัฐอเมริกา หรือ UCAS ของสหราชอาณาจักร เป็นต้น

เกณฑ์คะแนนที่ Top U กำหนดไว้ค่อนข้างสูง เช่น คะแนน SAT ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 700 – 800 เพราะฉะนั้นก่อนสอบควรจะลงคอร์สติว เพื่อเตรียมพื้นฐานให้แน่น ฝึกทำโจทย์บ่อยๆ โดยเฉพาะคนที่มีเวลาน้อย การมีคุณครูมาช่วยติวให้จะประหยัดเวลากว่าอ่านเองมาก แถมยังได้เทคนิคดีๆ ในการทำข้อสอบด้วย    

ค่าใช้จ่ายในการเรียน Top U ค่อนข้างสูง เช่น Oxford University ค่าเทอมอยู่ที่ £35,260 – £59,260 (หนึ่งล้านถึงสามล้านบาท) สำหรับใครที่กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย หรือมีงบประมาณจำกัด มหาวิทยาลัยหลายแห่งก็มีทุนให้หรือมีโครงการ มูลนิธิต่างๆ ที่เข้ามาสนับสนุน เช่น ทุน Yale Scholarship ของ Yale University, ทุน Chevening ของรัฐบาลประเทศอังกฤษ, ทุน Boustany MBA Harvard Scholarship ของมูลนิธิ Boustany เป็นต้น 

 

 

สำหรับน้องๆ คนไหนที่อยากจะศึกษาต่อในภาคอินเตอร์ของมหาวิทยาลัยในไทย หรือไปเรียนปริญญาตรีต่างประเทศ EFL Learning Centre มีคอร์ส ติวเข้ม International IGCS & International A-Level ที่จะช่วยให้น้องๆ วางแผน เตรียมความพร้อมก่อนสอบ และมีเทคนิคในการทำคะแนนได้ตามเป้า คอร์สเรียนเราออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์น้องๆ ที่ต้องการสอบเข้าหลักสูตรนานาชาติในมหาวิทยาลัยชั้นนำ หรือเตรียมตัวสำหรับการศึกษาต่อในต่างประเทศอย่างมั่นใจ โดยมีทีมผู้สอนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการสอนหลักสูตร IGCS และ International A-Level คอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด 

นอกจากนี้ เรายังมีศูนย์สอบ IGCSE & International A-Level Exam Centre แห่งแรกในภาคเหนือ ที่เปิดรับผู้สมัครสอบทั่วไปด้วย เพื่อช่วยให้น้องๆ คุ้นเคยกับแนวข้อสอบและสามารถจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การสอบเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น หากสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อเรามาได้เลยทุกเมื่อค่ะ

 

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า