การไปเรียนต่อเมืองนอกเป็นความฝันของน้องๆ หลายคน แต่ก้าวแรกก็อาจจะไม่ง่ายนัก เพราะบางคนยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นยังไงดี มีแต่ความกังวลเต็มไปหมด ทั้งเรื่องผลการเรียน ภาษา หรือค่าใช้จ่าย แต่จริงๆ แล้วโลกนี้มีโอกาสมากมาย หากเราวางแผนดี เตรียมตัวให้พร้อม และศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่จะไป เงื่อนไขการสมัคร รวมถึงทุนการศึกษาต่างๆ ทุกอย่างก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว วันนี้เราเลยเตรียมข้อมูลดีๆ มาฝาก สำหรับคนที่อยากไปเรียนเมืองนอก ต้องทำยังไงบ้าง ไปดูกัน!
เรียนต่างประเทศดีอย่างไร
ถ้าถามว่าเรียนต่างประเทศดียังไง? ต้องบอกเลยว่าข้อดีมีเยอะมากๆ สิ่งแรกที่จะได้คือทักษะการใช้ภาษาที่จะพัฒนาแบบก้าวกระโดด ยิ่งไปกว่านั้นน้องๆ ยังจะได้เจอเพื่อนจากหลายประเทศ ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่หลากหลาย เปิดมุมมองใหม่ๆ ฝึกการใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ฝึกความมีวินัย และความรับผิดชอบ รวมถึงได้ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากในห้องเรียน และจะกลายเป็นความทรงจำที่น้องๆ ไม่มีวันลืมเลยค่ะ
ที่สำคัญการสมัครเรียนต่างประเทศยังช่วยเพิ่มโอกาสในการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำ มหาลัยเมืองนอก หรือเปิดประตูสู่การทำงานในองค์กรระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเลือกเรียนในคณะที่อนาคตมีงานทำชัวร์ เช่น สาย STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) ธุรกิจระหว่างประเทศ หรือสายสุขภาพ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานทั่วโลก รวมถึงโอกาสในการทำงานต่างประเทศอีกด้วย เพราะฉะนั้นถ้าน้องๆ มีความฝัน ก็อย่าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปนะคะ
วิธีเลือกประเทศปลายทาง
เมื่อมีเป้าหมายแล้วว่าฉันจะไปเรียนเมืองนอก! ก็มาเลือกกันเลยว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนดี เพราะมีตัวเลือกมากมายเลยค่ะ ทั้งประเทศใกล้ๆ ในแถบเอเชีย ไปจนถึงฝั่งยุโรป แต่จะเลือกเพราะความชอบเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้นะ ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนั้นๆ ด้วย
ปัจจัยต่างๆ ที่ควรพิจารณา
การเลือกประเทศต้องพิจารณาหลายๆ ปัจจัยที่จะส่งผลต่อการเรียนและการใช้ชีวิต เช่น
- ภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอน ควรเป็นภาษาที่ใช้ได้คล่อง หรืออยู่ในระดับดี
- วัฒนธรรม จะทำให้เราสามารถปรับตัว และเข้ากับเพื่อนได้ง่าย
- ค่าครองชีพและค่าเล่าเรียน ถ้าอยากประหยัดควรเลือกประเทศที่ค่าครองชีพไม่สูงมาก เช่น เลือกไปนิวซีแลนด์ หรือแคนาดา ที่ได้ภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่ค่าครองชีพถูกกว่าอเมริกา และอังกฤษ หรือถ้าสนใจเมืองใหญ่ที่มีความหลากหลาย และค่าใช้จ่ายไม่ใช่ปัญหา ลอนดอน ก็เป็นเมืองที่น่าสนใจ
- ความปลอดภัย เลือกประเทศที่มีความปลอดภัยสูง ภัยธรรมชาติน้อย อัตราอาชญากรรมต่ำ กฎหมายแข็งแรง ระบบขนส่งสาธารณะมีคุณภาพ เช่น นิวซีแลนด์ แคนาดา ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น
ประเทศยอดนิยมสำหรับนักเรียนไทย
ประเทศที่คนไทยไปเรียนกันเยอะ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ ก็เป็นประเทศที่น่าไปเรียนต่อ จะได้มีเพื่อนคนไทยเอาไว้พูดคุย ปรึกษาเมื่อมีปัญหา หรือมีรุ่นพี่ที่สามารถแชร์ประสบการณ์ ให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ ทำให้เราสามารถปรับตัว และใช้ชีวิตในต่างประเทศได้อย่างสบายใจมากขึ้น
เข้าใจกระบวนการสมัครเรียนต่างประเทศ
เดี๋ยวนี้การสมัครเรียนหรือสมัครสอบทุนเรียนต่อต่างประเทศ ใช้วิธียื่นและแจ้งผลผ่านออนไลน์จึงสะดวกสบายมาก สมัครเสร็จก็รอผลได้เลย จะยากหน่อยก็ตอนเตรียมตัวก่อนสมัคร เพราะมีรายละเอียดจุกจิกเยอะ จึงควรวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย 12 – 16 เดือน และเช็กคุณสมบัติในการรับสมัครอย่างละเอียด รวมถึงเอกสารที่ต้องใช้ ดังนี้
เงื่อนไขในการสมัคร
- ตารางเวลาการสมัคร ช่วงเวลารับสมัครจะใกล้เคียงกันทุกปี หากของปีนี้ยังไม่เปิดก็อาจจะประมาณช่วงเวลาคร่าวๆ จากปีก่อน และคอยติดตามข่าวสารอยู่เสมอ จะได้ไม่พลาด เปิดเมื่อไหร่ก็พร้อมยื่นได้ทันที
- ใบรับรองผลการเรียนและคุณวุฒิ เตรียมเอกสารแสดงวุฒิการศึกษา เช่น หากเรียนต่อปริญญาตรี ต้องสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า มีใบทรานสคริปต์ที่บอกว่าเกรดเฉลี่ย (GPA) ของเราอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด โดยทั่วไปขั้นต่ำอยู่ที่ 2.5 – 2.75 สำหรับมหาวิทยาลัยทั่วไป แต่หากน้องๆ ต้องการสมัครเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เช่น Oxford จะไม่ยอมรับวุฒิมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของเรา แต่จะต้องการ International GCSE & International A-Level ประมาณ 3-4 วิชา
- การทดสอบความสามารถทางภาษา เช็กว่าต้องใช้ผลสอบวัดระดับอะไรบ้าง และคะแนนเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะนิยมใช้คะแนน IELTS, TOEFL, เป็นต้น ซึ่งแนะนำว่าให้เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น เริ่มปูพื้น Academic English ตั้งแต่มัธยมต้น และติวกลยุทธ์การสอบในช่วงมัธยมปลาย
- จดหมายแนะนำ (Recommendation Letter) บางมหาวิทยาลัยต้องยื่นจดหมายแนะนำเพื่อเป็นการรับรองคุณสมบัติ น้องๆ ก็จะต้องไปขอให้อาจารย์ช่วยเขียนให้ หรือถ้าเรียนต่อปริญญาโท ก็อาจจะต้องมีจดหมายแนะนำจากนายจ้างที่เราเคยร่วมงานด้วย
- จดหมายแนะนำตัว (Personal Statement) ส่วนนี้น้องๆ ต้องเขียนเอง เป็นการพรีเซนต์ตัวเองให้ผู้รับสมัครรู้จักว่าทำไมอยากเรียนที่นี่ บอกความถนัด ความสนใจ รวมถึงประสบการณ์ และกิจกรรมที่เคยทำ ความยาวประมาณ 400-600 คำ หรือตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด และอย่าลืมเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยในฝันกันด้วยนะคะ
วางแผนค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพ
เรื่องค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งที่ทั้งน้องๆ และผู้ปกครองกังวลกันมาก บางคนพอรู้ว่าเรียนต่อเมืองนอกใช้เงินเท่าไหร่ก็เริ่มถอดใจ แต่อันที่จริงมีหลายวิธีเลยที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น เช่น
ทุนการศึกษา
อยากเรียนต่อเมืองนอกแต่ไม่มีเงินทำไงดี? การสอบชิงทุนไปต่างประเทศคือตัวช่วยที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นทุนรัฐบาล ทุนมหาวิทยาลัย หรือทุนจากภาคเอกชนและระหว่างประเทศ น้องๆ สามารถสอบถามจากอาจารย์แนะแนว หรือติดตามข้อมูลจาก EFL Thailand และเว็บไซต์ต่างๆ ได้เลย แต่ต้องดูรายละเอียดให้ดี เพราะบางทุนให้เฉพาะค่าเรียน แต่บางทุนก็รวมค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายอื่นด้วย ตัวอย่างเช่น
- ทุน Fulbright Scholarship (สหรัฐอเมริกา) : https://www.fulbrightthai.org/
- ทุน Chevening Scholarship (อังกฤษ) : https://www.chevening.org/
- ทุน Gates Cambridge Scholarship (อังกฤษ) : https://www.gatescambridge.org/apply/eligibility/
- ทุน DAAD (เยอรมนี) https://www.daad-thailand.org/th/
- ทุน Lester B. Pearson International Student Scholarships (แคนาดา) : https://future.utoronto.ca/pearson/about/
- ทุน Destination Australia (ออสเตรเลีย) : https://www.education.gov.au/destination-australia
สำหรับน้องๆ ที่ผลการเรียนอยู่ในระดับกลางๆ อาจเลือกทุนเรียนเมืองนอกที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายแค่บางส่วน จะทำให้การแข่งขันน้อยกว่า หรือเป็นทุนอัตโนมัติที่ให้ทันทีเมื่อมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ เป็นต้น
วางแผนทางการเงิน
การไปเรียนเมืองนอกค่าใช้จ่ายจิปาถะค่อนข้างเยอะ เช่น ค่าสมัครสอบวัดทักษะต่างๆ ค่าธรรมเนียมวีซ่า ค่าตรวจสุขภาพ ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าหนังสือ ค่ากิจกรรม ฯลฯ จึงต้องวางแผนการเงินให้ดี ไปดูตัวอย่างกันเลยว่าไปเรียนต่างประเทศใช้เงินเท่าไหร่บ้าง
ออสเตรเลีย :
- ค่าเรียนระดับปริญญาตรี ประมาณ AU$ 20,000 – 45,000 หรือประมาณ 430,200 – 967,950 บาทต่อปี
- ค่าครองชีพ ประมาณ AU$ 1,500 – 4,100 หรือประมาณ 32,260 – 88,190 บาทต่อเดือน
อังกฤษ :
- ค่าเรียนระดับปริญญาตรี ประมาณ £ 10,000 – 20,000 หรือประมาณ 431,300 – 862,600 บาทต่อปี
- ค่าครองชีพ ประมาณ £ 900 – 1,400 ต่อเดือน หรือประมาณ 38,820 – 60,380 บาทต่อเดือน
แคนาดา :
- ค่าเรียนระดับปริญญาตรี ประมาณ CA$ 13,000 – 25,000 หรือประมาณ 310,440 – 597,000 บาทต่อปี
- ค่าครองชีพ ประมาณ CA$ 1,800 – 3,300 หรือประมาณ 43,180 – 78,800 บาทต่อเดือน
นิวซีแลนด์
- ค่าเรียนระดับปริญญาตรี ประมาณ NZ$ 22,000 – 32,000 ต่อปี หรือประมาณ 430,320 – 625,920 บาทต่อปี
- ค่าครองชีพ ประมาณ NZ$ 1,500 – 3,000 ต่อเดือน หรือประมาณ 29,340 – 58,680 บาทต่อเดือน
เตรียมตัวสำหรับการขอวีซ่า
การเตรียมตัวขอวีซ่าเป็นขั้นตอนที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะมีข้อกำหนดหรือรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย หากไม่ศึกษาข้อมูลให้ดี ทำไปแล้วไม่ผ่านแล้วต้องยื่นใหม่ก็จะทำให้เสียเวลาได้
ประเภทของวีซ่านักเรียน
- Student Visa วีซ่าสำหรับการไปเรียนต่างประเทศแบบเต็มเวลา เช่น เรียนต่อระดับมัธยมศึกษา ปริญญาตรี ปริญญาโท สายอาชีพ ซึ่งจะต้องมีใบตอบรับจากสถาบันการศึกษาที่จะไปเรียนด้วยจึงจะขอได้
- Short-term Study Visa วีซ่าสำหรับคอร์สเรียนระยะสั้น เช่น ไปเรียนภาษาในช่วงปิดเทอม เข้าร่วมการฝึกอบรม ส่วนใหญ่ระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน
เงื่อนไขในการขอวีซ่า
- เอกสาร เช่น หนังสือเดินทาง สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน รูปถ่าย ใบรับรองผลการศึกษา ฯลฯ ต้องดูรายละเอียดให้ดี เพราะแต่ละประเทศใช้เอกสารต่างกัน บางที่อาจต้องใช้หลักฐานทางการเงิน ต้องมีประกันสุขภาพ หรือเอกสารยืนยันจากสถานศึกษา และส่วนใหญ่เอกสารที่เป็นภาษาไทยก็จะต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย
- ระยะเวลาในการยื่นขอวีซ่า ต้องทำเรื่องขอวีซ่าอย่างน้อย 1 เดือน หรือยื่นขอวีซ่าล่วงหน้า 3 เดือนก่อนวันเดินทาง หรือกำหนดเปิดเรียน
- เตรียมตัวสัมภาษณ์วีซ่า แต่งตัวสุภาพ เตรียมเอกสารให้ครบ และไปถึงก่อนเวลานัดประมาณ 30 นาที แนะนำให้ซ้อมตอบคำถามไว้ก่อนเลย เช่น ไปเรียนอะไร ทำไมถึงเลือกเรียนประเทศนี้ ไปนานเท่าไหร่ มีคนรู้จักอยู่ที่นั่นไหม เรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ ฯลฯ
จัดการเรื่องที่พักและการเดินทางไปต่างประเทศ
เมื่อสอบผ่าน สมัครเรียนเรียบร้อย ขอวีซ่าได้แล้ว ก็มาหาที่พัก และเตรียมตัวออกเดินทางกันเลย จะได้ไปถึงทันเปิดเรียน มีเวลาปรับตัว และใช้ชีวิตในต่างประเทศได้อย่างราบรื่น
ที่พัก
การเลือกที่พักแบ่งกว้างๆ ได้ 2 แบบ คือในมหาวิทยาลัย กับนอกมหาวิทยาลัย สำหรับคนที่ไปต่างประเทศครั้งแรก แนะนำให้เลือกหอพักในมหาวิทยาลัยไปก่อน จะได้ทำความคุ้นเคยกับเส้นทาง สถานที่ และยังได้เพื่อนใหม่ด้วย หลังจากนั้นถ้าอยากจะย้ายไปอยู่นอกมหาวิทยาลัย ก็สามารถปรึกษาจากอาจารย์ รุ่นพี่ ที่ปรึกษา หรือเสิร์ชหาที่พักในเว็บไซต์ต่างๆ เช่น Uniacco, Uniplaces, Amberstudent, Student หรือเว็บ Studentpad และ Unitestudents ของอังกฤษ เป็นต้น
การเดินทาง
สำหรับกำหนดการเดินทางก็ขึ้นอยู่กับตัวน้องๆ เลยค่ะ บางคนไปล่วงหน้าแค่ 2 – 3 วัน ถ้าใครกังวลมากอาจจะเผื่อเวลาเพิ่มขึ้นไว้สำรวจเส้นทาง จัดของ หาซื้อของกินของใช้ โดยตั๋วเครื่องบินก็จะมี 2 แบบ คือตั๋วแบบท่องเที่ยว และตั๋วแบบนักเรียน (Student Fare) ซึ่งข้อดีคือจะได้น้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม และฟรีค่าธรรมเนียมต่างๆ ด้วย
สำหรับน้องๆ ที่สนใจสอบเรียนต่อต่างประเทศ ต้องบอกเลยว่าการสอบ International GCSE & International A-Level สำคัญมาก เพราะ Top University เช่น Oxford ไม่รับวุฒิ ม.6 แต่รับ International A-Level ที่สำคัญ สำหรับใน TOP University ผลสอบ IELTS ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะฉะนั้นจึงควรเตรียมตัวสอบ International GCSE & International A-Level ตั้งแต่เนิ่นๆ
EFL Learning Centre เป็นสถาบันแรกของเอเชียที่ได้รับมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 และ TQUK จากประเทศอังกฤษด้านการสอนภาษาอังกฤษ และเป็นศูนย์ทดสอบหลักสูตรแห่งชาติอังกฤษ Pearson Edexcel Approved Centre แห่งแรกในภาคเหนือที่รับผู้สอบได้ทุกสังกัดแบบ Private Candidate 100% และสอนโดยผู้เชี่ยวชาญ Certified Pearson Edexcel Approved Centre Trainer สำหรับน้องๆ ที่ไม่ได้เรียนอินเตอร์ก็ไม่ต้องกังวล ติวเข้ม International GCSE & International A-Level ทั้งแบบเดี่ยว และกลุ่มเล็ก 2 – 3 คน จะช่วยให้น้องๆ สามารถเตรียมความพร้อมและทำข้อสอบได้อย่างมั่นใจ หลายคนก็สามารถคว้าคะแนนเต็ม 100 ได้สำเร็จมาแล้ว สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยที่ Line : @eflthailand หรือโทร. 061-5414624