เคล็ดไม่ลับสำหรับคุณแม่ เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความสุขและสนุกกับการเรียนรู้
คุณแม่ช่วยแนะนำตัวเองให้เรารู้จักกันอีกสักรอบนะคะ
สวัสดีค่ะ คุณแม่ชื่อ เอ๋ นะคะ พัทรวรรณ สุขขะนิวาสน์ ที่บ้านทำธุรกิจยางรถยนต์
คุณแม่เองก็มีธุรกิจส่วนตัว และยังทำ เรื่อง Global digital platform online กับ บริษัทหลักทรัพย์ใน New York ค่ะ
อยากให้คุณแม่ช่วยแบ่งปันเทคนิคการเลี้ยงลูกที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก ๆ ไม่ทราบว่าคุณแม่มีวิธีอย่างไรบ้างคะ?
โดยปกติ คุณแม่มองว่าความสัมพันธ์ที่ดีจะเกิดขึ้นได้ต้องใช้เวลาค่ะ ต้องมีการสื่อสารพูดคุยกันบ่อย ๆ และสิ่งสำคัญสำหรับคุณแม่คือ การเลี้ยงลูกแบบ “เพื่อน” คุณแม่ชอบตั้งคำถามกับเค้า และฟังเค้าแบบ Deep listening ตั้งใจที่จะฟังลูก มองเวลาลูกพูดอะไร และสบตาลูกบ่อย ๆ มีหลายครั้งที่ถ้าฟังเค้า เค้าก็จะรู้สึกได้ถ้าเราตั้งใจฟัง ถ้าเรามองตาเวลาพูดคุยความสัมพันธ์ทุกอย่างเราก็จะเข้าใจกันมากขึ้น และอย่างปกติช่วงเช้าคุณแม่จะรับส่งน้องเอง ก็จะมีการพูดคุยกันบนรถ ส่วนตอนเย็นคุณแม่ก็จะตั้งคำถามกับลูกๆ ให้น้องเล่าเรื่องที่เจอมาอย่างน้อยหนึ่งเรื่องได้ไหม อย่างเช่นเรื่องที่ลูกรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีดี ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียน ส่วนมากก็จะเป็นคำถามเชิงบวกค่ะ น้องไปโรงเรียนมาเจอเรื่องอะไรมาบ้าง ไหนเล่าให้หม่าม๊าฟังหน่อยสิ น้องก็จะเล่าให้เราฟัง นั่นก็จะทำให้เรารู้ว่าเรื่องดีดีที่น้องเจอมา มีอะไรบ้าง แต่ก็จะมีบางทีเหมือนกันค่ะ
ที่น้องจะมาบอกว่า “หม่าม๊าวันนี้มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย อยากฟังเรื่องไหนก่อนคะ?” แล้วเขาก็จะเล่าให้เราฟังค่ะ เลยสบายใจกันทั้งสองฝ่ายค่ะ
ถ้าหากลูก ๆ ทำพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก คุณแม่จะมีวิธีการจัดการกับพฤติกรรมเหล่านั้นอย่างไรบ้างคะ?
โดยปกติด้วยความที่คุณแม่มีลูก 4 คนซึ่งคนโตเขาก็ห่างเราไปแล้ว แต่คนที่ 2 อายุ 9 ขวบ และคนที่ 3 กับ 4 เขาเป็นแฝดอายุ 7 ขวบ ดังนั้นคนโตเขาก็จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรแล้ว เพราะเขาโตแล้ว แต่อีก 3 คนด้วยความที่อายุเขาไม่ห่างกันมากก็จะทะเลาะกันบ่อย เพราะด้วยวัยของเขามันใกล้กัน คุณแม่ต้องขอเกริ่นก่อนว่าส่วนมากคุณแม่จะคุยกับเขาเหมือนคุยกับผู้ใหญ่ ดังนั้นเวลาที่เขาทะเลาะกันคุณแม่ก็จะเรียกทุกคนมานั่งล้อมกัน แล้วก็จะถามเขาว่า “วันนี้เป็นยังไง คิดว่าเกิดอะไรขึ้นและใครทำอะไรผิด ผิดอย่างไร” หลังจากนั้นคุณแม่ก็จะปล่อยให้แต่ละคนได้พูดในมุมมองของเขาค่ะ พอเราฟังเสร็จแล้วเราจะคุยกับเขาต่อด้วยเหตุผล ว่าอันนี้ผิดเรื่องอะไร คนกลางเขาก็จะบอกเราว่าผิดเพราะสิ่งนี้นะ เรื่องนี้หนูผิดเพราะหนูไปแย่งมาจากเจ๊ ตีเจ๊เหมือนกัน แล้วเขาก็จะอธิบายของเขา พอเราฟังเสร็จเราก็เหมือนศาลยุติธรรมเลย (หัวเราะ) เราก็จะมานั่งเคลียร์เขา ทำให้เขารู้สึกว่าอะไรผิดอะไรถูก ถ้าคนไหนรู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร ก็ให้ยอมรับและขอโทษ นี่คือลักษณะเวลาที่เขาทำอุปนิสัยอะไรที่ไม่น่ารัก หรือบางทีที่เขาร้องไห้งอแง ส่วนมากก็จะปล่อยให้เขาเงียบก่อน ถ้ายังไม่เงียบเราก็จะรอจนกว่าเขาจะเงียบ แล้วมาคุยกันด้วยเหตุผล ซึ่งเราจะคุยกันแบบผู้ใหญ่เลยค่ะ
คุณแม่มีวิธีการเลี้ยงลูก ๆ อย่างไร ให้กิจกรรมยามว่างเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเสริมพัฒนาการให้แก่ลูก ๆ อย่างไรบ้างคะ?
ก็มีหลายรูปแบบเลยค่ะ แต่อย่างน้อยก็จะมีดนตรีค่ะ ตอนนี้น้อง ๆ ก็มีเรียนเปียโนอยู่ แล้วน้องก็ชอบวาดรูปด้วย คุณแม่ก็จะพาน้องไปทำพวกกิจกรรม DIY ค่ะ เดี๋ยวนี้ร้าน DIY มันก็มีเยอะ คุณแม่ก็จะให้น้อง ไปทำพวกกล่องดินสอลูกปัด หรือพวกงานศิลป์ๆงาน DIY ค่ะ ที่ให้น้องเรียนเปียโน เพราะว่าน้องจะได้เรื่องของสมาธิค่ะ แล้วก็จะได้เรื่องสกิลของการฟังค่ะ สกิลพวกนี้มันเป็นเรื่องสกิลพื้นฐานเผื่อในอนาคตน้องอยากจะเล่นเครื่องดนตรีอื่น การร้องเพลงก็จะได้ไม่ผิดคีย์ด้วยค่ะ เผื่อในอนาคตน้องอยากเป็นนักร้อง (หัวเราะ) แต่โดยส่วนมากก็จะรู้สึกว่าที่เรียนดนตรีน้องจะได้สมาธิค่ะ และถ้ายิ่งเล่นตั้งแต่เด็กก็จะได้เรื่องของกล้ามเนื้อมัดเล็ก และพวกประสาทสัมผัสด้วยค่ะ น้องคนเล็กเล่นมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบค่ะ น้องคนโตก็จะเริ่มตั้งแต่อายุประมาณนี้ค่ะ การเล่นของแต่ละคนก็จะมีแนวทางที่แตกต่างกันไป อย่างคนโตก็พอแล้วค่ะ พอได้เกรด 4 ก็ขอหยุดเรียนก่อน ส่วนน้องคนที่เหลือเขาก็กำลังเรียนอยู่ที่บ้านค่ะ ข้อดีที่เราเห็นก็คือเขาเรียนภาษาได้เร็วค่ะ เพราะมีการฟังได้ดีมากขึ้น
คุณแม่มีวิธีเลือกกิจกรรม หรือมีวิธีสร้างช่วงเวลาที่ดีกับลูก ๆ อย่างไรเพื่อให้ลูกๆ มีความสุขและสนุกกับการเรียนรู้คะ?
ส่วนมากคุณแม่จะเน้นเรื่องการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศค่ะ ไปกันทุกปี อย่างล่าสุดก็เพิ่งไปฮอกไกโดกับเมลเบิร์นมาค่ะ การไปแต่ละครั้งก็ไปเพื่อให้เขาได้เรียนรู้ค่ะ เช่นการเก็บกระเป๋าค่ะต้องให้เขาเก็บกระเป๋าเอง เขาก็จะเลือกว่าจะเอาอะไรไป อันไหนเขาจะไม่เอาไปบ้าง เราก็ให้เขาเริ่มได้ตั้งแต่ตรงนี้เลยค่ะ อย่างเช่นเวลาไปต่างประเทศการขึ้นเครื่องบิน ไปเข้าห้องน้ำ หรือการทำกิจกรรมอะไรต่างๆ การไปเห็นวัฒนธรรมเห็นคนเห็นสิ่งแวดล้อมใหม่ๆสิ่งเหล่านี้เป็นการเรียนรู้ที่ดีมากค่ะ ล่าสุดไปฮอกไกโดน้องก็จะได้เห็นหิมะ เขาก็จะได้เห็นสถานที่อีกแบบหนึ่ง นั่นทำให้เกิดการเรียนรู้ค่ะ และเราก็จะโฟกัสกับเขาพูดคุยกับเขา อย่างตอนนี้คนโตกับคนรองก็มีสมุดจดของตัวเอง แล้วเราก็จะถามเขาว่าไปมาแล้วเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากกลับมาแล้ว เขาก็จะจดลงสมุดของตัวเอง เขาจะบันทึกเรื่องราวที่เขาเจอมาทุกครั้งส่วนมากคุณแม่จะเน้นเรื่องการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศค่ะ ไปกันทุกปี อย่างล่าสุดก็เพิ่งไปฮอกไกโดกับเมลเบิร์นมาค่ะ การไปแต่ละครั้งก็ไปเพื่อให้เขาได้เรียนรู้ค่ะ เช่นการเก็บกระเป๋าค่ะต้องให้เขาเก็บกระเป๋าเอง เขาก็จะเลือกว่าจะเอาอะไรไป อันไหนเขาจะไม่เอาไปบ้าง เราก็ให้เขาเริ่มได้ตั้งแต่ตรงนี้เลยค่ะ อย่างเช่นเวลาไปต่างประเทศการขึ้นเครื่องบิน ไปเข้าห้องน้ำ หรือการทำกิจกรรมอะไรต่างๆ การไปเห็นวัฒนธรรมเห็นคนเห็นสิ่งแวดล้อมใหม่ๆสิ่งเหล่านี้เป็นการเรียนรู้ที่ดีมากค่ะ ล่าสุดไปฮอกไกโดน้องก็จะได้เห็นหิมะ เขาก็จะได้เห็นสถานที่อีกแบบหนึ่ง นั่นทำให้เกิดการเรียนรู้ค่ะ และเราก็จะโฟกัสกับเขาพูดคุยกับเขา อย่างตอนนี้คนโตกับคนรองก็มีสมุดจดของตัวเอง แล้วเราก็จะถามเขาว่าไปมาแล้วเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากกลับมาแล้ว เขาก็จะจดลงสมุดของตัวเอง เขาจะบันทึกเรื่องราวที่เขาเจอมาทุกครั้งสิ่งสำคัญอีกอย่างคือเขาจะได้ inspiration ใหม่ ๆ แรงบันดาลใจใหม่ๆมาเสมอ เพราะเขาได้เจอสิ่งอะไรใหม่ๆ ในทุกการเดินทางก็จะเป็นการสร้างความทรงจำให้เขาเสมอ อย่างน้องคนโตเคยไปParis ตอนอายุ 4 ขวบค่ะ สุดท้ายเราก็มารู้ทีหลังว่าเขาจำได้ จากที่เราเคยคิดว่าเด็กจำไม่ได้หรอก เราเลยรู้ว่าเราคิดผิดนะ อีกอย่างคือมันไม่เหมือนที่ใครเคยบอกเลยค่ะว่าโอ๊ยเด็กๆจำไม่ได้หรอก เราเลยรู้ว่าการไปแต่ละครั้งมันได้อะไรเยอะมากและมันกลายเป็นความทรงจำที่ดี คุณแม่ก็เลยพาน้อง ๆ ไปเที่ยวทุกปีค่ะ
คุณแม่มีวิธีการพูดสื่อสารกับลูกๆอย่างไร ที่ช่วยฝึกให้ลูกๆ มีพัฒนาการทางภาษาที่ดีคะ?
คุณแม่ต้องบอกก่อนว่าภาษาอังกฤษคุณแม่ไม่ค่อยได้เลย นั่นเลยทำให้คุณแม่รู้สึกว่ามันสำคัญ ตัวคุณแม่เองก็ทำงานเป็นกับ Global Platform ที่ไปถึงระดับโลกเลย เวลาไปนั่งร่วมประชุมเป็นระดับตัวแทนภูมิภาค ก็จะต้องคอยมีผู้บริหารมานั่งประกบแปลให้เรา และถ้าเราอยากพูดอะไรเขาก็จะคอยแปลกลับไป ให้ บวกกับตัวคุณแม่เองก็เคยอ่านหนังสือมาว่าภาษาเป็นช่วงของการเรียนรู้ตั้งแต่วัยเยาว์ ประกอบกับน้องคนโตก็เคยเรียนนานาชาติมาก่อนค่ะ แต่พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงโควิดเราเลยรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยได้ภาษาอังกฤษเลย หลังจากนั้นคุณแม่ก็เลยหาสถานที่เรียนเสริมให้น้องค่ะ ดังนั้นก็จะเหมือนที่กล่าวไปข้างต้นค่ะ การ Deep listening ก็มีส่วนช่วยค่ะเพราะการที่เราตั้งใจฟังเขา ตั้งใจสื่อสารกับเขา สิ่งเหล่านั้นน้อง ๆ สามารถรับรู้ได้ค่ะ สุดท้ายน้องก็จะกล้าสื่อสารกับเราเพราะรู้ว่าเรารับฟังเขา
คุณแม่เริ่มสอนภาษาอังกฤษให้ลูกตั้งแต่อายุเท่าไหร่คะ และทำไมถึงเลือกที่จะเริ่มสอนในช่วงวัยนี้คะ?
จริง ๆ ถ้าทุกคนเคยได้ดูข้อมูลมา ทุกคนก็จะรู้ว่าการเริ่มเรียนภาษายิ่งเริ่มได้เร็วยิ่งดี เพราะสมองเด็กจะเหมือนฟองน้ำ ซึ่งสมองของเด็กจะซึมซับได้เร็วมาก คุณแม่เคยเห็นเด็กบางคนคุยได้ 3 ภาษาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เพราะสำหรับเด็ก ๆ แล้วเขาจะเข้าใจคำศัพท์ภาษาได้เร็วมากในอายุช่วงวัยแบบนี้ค่ะ เลยเลือกที่จะเริ่มต้นในช่วงนี้ค่ะ
คุณแม่มีวิธีเลือกสถานศึกษาให้กับลูก ๆ อย่างไรบ้างคะ?
ในการเลือกโรงเรียนก็จะมีความหลากหลายมากค่ะ อย่างเช่นลูกคนโตเขาเรียนโรงเรียนไทยก่อน หลังจากนั้นถึงย้ายไปโรงเรียนนานาชาติ ที่ย้ายน้องไป เพราะว่าเรียนภาษาในโรงเรียนไทยแล้วคุณแม่รู้สึกว่าภาษาอังกฤษของน้องยังไม่ค่อยพัฒนา เลยตัดสินใจย้ายไปเรียนนานาชาติ พอย้ายน้องไปแล้ว คุณแม่เองก็รู้สึกว่าเขาเรียนแล้วดูมีความสุขมากขึ้นในฐานะแม่เราเองก็รู้ศักยภาพลูกเรา และสังเกตเขาอยู่เสมอแล้วคอยดูว่าเขามีศักยภาพในแต่ละด้านเป็นอย่างไร ต้องสังเกตนะคะว่าลูก ๆ มีพฤติกรรมอย่างไร หรือ มีลักษณะอย่างไร และอีกเรื่องหนึ่งคือ หากบ้านไหนมีลูก ๆ หลายคน ไม่จำเป็นเลยค่ะที่ลูกทุกคนจะต้องเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน อย่างที่บอกค่ะว่าลูกคนโตอยู่โรงเรียนนานาชาติ อย่างน้องคนที่เหลือเขาอายุใกล้เคียงกัน และชอบทำกิจกรรมเหมือน ๆ กัน ดังนั้นคุณแม่ก็จะมองหาโรงเรียนที่มีกิจกรรมให้เขาได้ลองทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้เขาได้เรียนรู้และเขาก็จะมีความสุขกับทุกสิ่งที่ได้ลองทำค่ะ อย่างการเรียนภาษาอังกฤษเราก็รู้สึกว่าเราอยากเติมให้เขามากขึ้น เราเลยตัดสินใจมาเรียนที่ EFL Learning Centre เพราะที่นี่มีมาตรฐาน คุณแม่เองก็ได้ขอให้ลูกสาวคนโตช่วยดูให้ พอดูเสร็จเขาก็บอกกับแม่ว่า
ที่นี่ Excellent มากเลยนะ และหลังจากมาเรียนที่นี่เราก็สังเกตได้ว่าสำเนียงของน้องแฝดดีขึ้น ตัวน้องเองก็มีความกล้าในการที่จะสื่อสารภาษาอังกฤษมากขึ้น บางวันเขาก็กลับมาเล่าให้คุณแม่ฟังว่าคุณครูที่โรงเรียนชมน้อง ว่าทำไมภาษาอังกฤษของหนูดีจังเลย ภาษาอังกฤษดีขึ้นมากเลยนะ เขาก็จะมาบอกแม่เองเลยค่ะว่าคุณครูชมว่าหนูภาษาดี สำเนียงดี และตัวน้องแฝดเองก็มีความมั่นใจมากขึ้นหลังจากเรียนที่ EFL เพียง 24 ชั่วโมงของการเรียนก็เห็นผลของการเปลี่ยนแปลงแล้วค่ะ
สุดท้ายนี้คุณแม่อยากฝากอะไร หรือมีอะไรที่อยากจะแบ่งปันกับแม่ ๆ ท่านอื่นบ้างไหมคะ?
เพราะตอนนี้เราอยู่ในโลก Big Data เราอยู่ในโลกของ Social Online อะไรต่าง ๆ
1)ก็คือเรื่องของการแบ่งเวลา และความรับผิดชอบ รู้ว่าหน้าที่หลักคือทำอะไร ยิ่งอยู่ในยุคนี้ก็ยิ่งมีผล อย่างเช่นการเล่น iPad แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องสอนให้เขารู้ว่าเขาต้องแบ่งเวลาให้เป็นนะ
2)เรื่องของ Positive Mindset มุมมองต่างๆในการใช้ชีวิต
3)คือภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร อย่างคุณแม่จะเน้นที่การสื่อสารเชิงบวกตรงไปเลย การใช้ภาษาคือสิ่งที่สำคัญมาก คุณแม่เองชอบที่จะชม และให้กำลังใจในสิ่งที่เขาทำได้ดี บางทีเราอย่าไปกังวลกับบางเรื่องว่าลูกเราจะอ่อนด้านนั้นด้านนี้ ให้เราลองดูในสิ่งดี ๆ ที่เขามี แล้วเติมเต็มศักยภาพของเขาในด้านนั้นให้เต็มที่ ถ้าเราจะเอาทุกอย่างว่าสิ่งนี้ลูกต้องดี สิ่งนั้นลูกต้องเด่น แต่หากเราไม่ชื่นชมเขา และกลับพูดว่าทำไมวิชานี้ไม่ดีเลย ทำไมคะแนนน้อยแบบนี้ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เขารู้สึกแย่ จนกระทั่งเขาไม่ชอบสิ่งนั้นไปเลยจริง ๆ
ดังนั้นแล้วสำหรับตัวคุณแม่มองว่า การสื่อสาร ความมีวินัย ความรับผิดชอบ ในตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะคุณแม่ได้เห็นจากลูกคนโตของเราแล้วว่า ถ้าเด็กมีความรับผิดชอบในตนเอง หรือจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง คุณแม่เลยไม่จำเป็นที่จะไปต้องกังวลกับน้องเขามาก เพราะเขาสามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองเพราะฉะนั้น คุณแม่จะเน้นลูก 3 คนให้เหมือนกัน ก็คือความรับผิดชอบ ความมีวินัย การแบ่งเวลาให้เป็น และการสื่อสารให้มีเหตุผล คุณแม่ก็หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับคุณแม่และหลายๆท่านนะคะ
หลังจากที่ทุกท่านได้อ่านบทความนี้แล้ว EFL หวังว่าบทความนี้คงจะเป็นตัวช่วยให้คุณแม่หลาย ๆ ท่านสามารถนำบทความนี้ไปปรับใช้เป็นแนวทางในการเลี้ยงลูกได้นะคะ และในเดือนแห่งวันแม่นี้ EFL ขออวยพรคุณแม่ทุกท่านให้มีสุขภาพแข็งแรง มีความสุขอยู่เสมอนะคะ
และสำหรับคุณแม่ท่านใดที่กำลังมองหาคอร์สเรียนภาษาแบบเข้มข้นเจาะลึก EFL learning Centre สถาบันสอนภาษาแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลถึง 2 มาตรฐานจากสหราชอาณาจักร ตอบโจทย์ความต้องการของทุกช่วงอายุ ของทุก Lifelong Learners เริ่มได้ตั้งแต่ อายุครรภ์ 8 สัปดาห์ เตรียมสอบทุกระดับการศึกษาต่อทั้งในและต่างประเทศ คอร์สสำหรับภาษาอังกฤษองค์กร ไปจนถึงคอร์สอาวุโส OK เพื่อความสุขสดใสวัยเกษียณ เป็นต้น เรามีครูผู้สอนที่ผ่านการอบรมในหลักสูตรการสอนภาษาอังกฤษสำหรับชาวต่างประเทศ (SEE TEFL) ซึ่ง ผ่านการรับรองมาตรฐาน Training Qualifications UK รับรองได้ว่านักเรียนของเราทุกคนจะได้รับการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญตลอดการเรียนอย่างแน่นอน