สำหรับน้องๆ คนไหนที่กำลังมีแพลนอยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศ เพื่อปูเส้นทางการเดินตามความฝันชัดเจนมากขึ้น แต่ยังไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นเตรียมตัวไปเรียนต่างประเทศอย่างไร จนอาจจะรู้สึกกังวลใจและไม่กล้าไปทำตามความฝัน วันนี้พี่ๆ จึงขอมาบอกต่อเช็คลิสต์ว่า ไปเรียนต่างประเทศ ต้องเตรียมอะไรบ้าง ตั้งแต่ข้าวของเครื่องใช้ วิธีวางแผน และอื่น ๆ เพื่อให้น้องๆ สามารถเตรียมตัวได้พร้อมมากที่สุด มั่นใจว่าการไปเรียนต่างประเทศจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดมาก ใครฝันอยากไปเรียนต่างประเทศและความฝันใกล้เป็นจริงแล้วต้องอ่านเลย!
ก่อนที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ เราควรที่จะหาเส้นทางชีวิตตัวเองให้เจอก่อนว่า ต้องการจะเรียนต่อต่างประเทศในด้านไหน เรียนเพื่อเสริมทักษะด้านภาษา เรียนเพื่อรับวุฒิในระดับชั้นต่างๆ หรืออื่นๆ ดังนั้น น้องๆ จะต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่ตั้งใจจะไปเรียน วัฒนธรรมของประเทศนั้น ค่าเงินและค่าใช้จ่ายต่างๆ อากาศ ภาษา อาหาร ฯลฯ เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจได้ ถ้าเป็นไปได้ อย่าลืมเริ่มต้นพูดคุยกับครอบครัว เพื่อปรึกษาหาแนวทางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การศึกษาข้อมูลและวางแผนการไปเรียนต่อต่างประเทศคือเรื่องสำคัญมากเพราะจะทำให้น้องๆ ทุกคนเกิดความมั่นใจมากขึ้น สามารถเตรียมตนเองให้พร้อมและรับมือได้ดีหากต้องเจอกับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจไม่ได้คาดฝันไว้ หรือรู้อยู่แล้วก็ตาม เสมือนมีแผนรับมือที่ดี เพราะนั่นจะทำให้การเรียนมหาลัยต่างประเทศของทุกคนประสบความสำเร็จ และไม่เกิดข้อผิดพลาดใหญ่โตให้ต้องปวดหัว
การเดินทางไปเรียนต่างประเทศ จำเป็นที่จะต้องฝึกฝนทักษะทางภาษา เพราะประเทศอื่นๆ ไม่ได้ใช้ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาประจำชาติแบบบ้านเรา โดยปกติแล้วจึงควรฝึกภาษาอังกฤษเป็นหลัก และมีการเก็บคะแนนสอบภาษาอังกฤษ (ให้ถึงคะแนนขั้นต่ำที่สถาบันนั้นกำหนด) ไว้เป็นเอกสารสมัครเรียนเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ นอกจากนี้ หากประเทศที่น้องๆ ตั้งใจจะไปมีภาษาท้องถิ่นโดยเฉพาะ และคนในประเทศไม่ถนัดใช้ภาษาอังกฤษ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ ก็ควรที่จะเตรียมฝึกภาษาที่ 3 เพิ่มเติมด้วย
ในกรณีสมัครเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยระดับ Top ของโลก เช่น University of Oxford น้องควรเลือกเตรียมคะแนนสอบภาษาอังกฤษตามมาตรฐานสากล ในระดับภาษาอังกฤษเทียบเท่าเจ้าของภาษา เช่น IELTS Academic เริ่มต้นที่ Band 7, International GCSE ที่มีผลคะแนนวิชา ภาษาอังกฤษ แบบ First Language English ตามตัวอย่างตารางที่แสดงด้านล่างนี้จะเห็นว่า ทางมหาวิทยาลัยไม่ยอมรับผลการเรียนจากการเรียนภาษาอังกฤษแบบภาษาที่สอง (Second Language English – not accepted)
Credit: สามารถดูข้อมูลเต็มของ University of Oxford Admission 2025 ได้ที่ลิงก์นี้: Visas and English language requirements
ดังนั้นการเตรียมตัวด้านภาษาอังกฤษสำหรับการเรียนต่างประเทศ หากเตรียมตัวทั้งทีควรเลือกโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ได้มาตรฐานสากล เช่น ISO 9001 ในหลักสูตรภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรก (First Language English) เช่น คอร์สเรียนที่สอนด้วยหลักสูตรแห่งชาติอังกฤษ Pearson Edexcel สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้: Pearson edexcel คืออะไร เป็นต้น
แม้แต่การสมัครเรียนในประเทศก็ยังต้องใช้เอกสารไม่น้อย การไปเรียนต่อต่างประเทศก็ต้องใช้เอกสารมากมายไม่แพ้กัน เช่น วีซ่า หนังสือเดินทาง เอกสารรับรองสุขภาพ ประกันการเดินทาง ฯลฯ และที่เราคุ้นเคยกันคือ Statement of Purpose หรือ SOP สำหรับการเรียนต่างประเทศ คือ เรียงความที่เขียนแนะนำตัวให้ทางมหาลัยได้รู้จักกับตัวเรามากขึ้น ถือว่าสำคัญไม่แพ้กับประวัติการศึกษาและเกรดเฉลี่ย ควรเขียนออกมาให้แต่ละหัวข้อน่าสนใจ ชัดเจน กระชับ และทำให้ผู้ที่ได้อ่านสนใจจนอยากให้เราได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสถาบัน
แต่ในหลายๆ คณะก็อาจไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ เช่น คณะแพทย์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก อย่าง University of Oxford จะต้องการผลคะแนน UCAT (The University Clinical Aptitude Test (UCAT) แทน บวกกับ ผลคะแนนที่ได้คะแนนเกรด A* หรือ AA ในวิชา 2 หลัก ดังนี้
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ox.ac.uk/admissions/undergraduate/courses/admission-requirements/admission-requirements-table
ในกรณีที่นักเรียนไทยที่เรียนในหลักสูตรไทย ไม่สามารถใช้วุฒิมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้ใน Top University เช่น Oxford ได้ ดังนั้นจึงควรตรวจสอบรายละเอียดการรับสมัครก่อนการยื่นเอกสาร
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ox.ac.uk/admissions/undergraduate/applying-to-oxford/for-international-students/international-qualifications
และหากนักเรียนไทยต้องการเตรียมตัวสอบเพื่อให้ได้วุฒิม.ปลายหลักสูตรแห่งชาติอังกฤษ สามารถเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากศูนย์ทดสอบหลักสูตรแห่งชาติอังกฤษ Pearson Edexcel ที่สามารถรับ Private Candidate 100% ซึ่งจะเป็นศูนย์สอบที่รับนักเรียนภายนอกได้ทุกสังกัด ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นนักเรียนของสถาบันการศึกษานั้นก็ได้ โดยนักเรียนไทย ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนในรร.อินเตอร์ก็เป็นไปได้ค่ะ
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://qualifications.pearson.com/en/support/support-topics/understanding-our-qualifications/find-a-pearson-centre.html?Country=Thailand&City=Chiang%20Mai&QualificationFamily=Edexcel
เมื่อน้องๆ เตรียมสิ่งต่างๆ แล้ว สุดท้ายนี้อย่าลืมเตรียมจัดของลงกระเป๋า แต่สิ่งแรกก่อนจัดของเตรียมไปเรียนต่างประเทศจะต้องเช็คก่อนว่า สายการบินที่น้องๆ เลือกสามารถพกของไปได้มากน้อยแค่ไหน และประเทศที่จะไปมีสิ่งของอะไรที่ถูกกว่าซื้อจากไทยไปบ้าง แต่ที่ต้องไม่ลืมเลยคือ ยาประจำตัวและยาสามัญทั่วไป เงินสดของประเทศนั้นหรือ บตรเครดิตที่ทำเรื่องเปิดใช้งานต่างประเทศแล้ว และของฝากจากประเทศไทยเพื่อผูกมิตรกับผู้คนต่างแดน และไม่จำเป็นต้องนำซิมการ์ดไป เพราะการใช้ซิมการ์ดของประเทศนั้นๆ อาจเหมาะกับการใช้งานช่วงเรียนต่อต่างประเทศยาวๆ มากกว่าใช้แพ็คเกจแบบ International Plan นั่นเอง
ทั้งนี้การเตรียมของไปเรียนต่างประเทศต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลาการอยู่อาศัยด้วยว่ายาวนานแค่ไหน และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของตนเอง เช่น บางคนไปเรียนต่อยุโรปหรืออเมริกา ซึ่งการทานอาหารไทยรสดั้งเดิมอาจเป็นเรื่องยาก บวกกับไม่ชอบอาหารแนวฟาสต์ฟู๊ด การเตรียมหม้อหุงข้าว กระทะไฟฟ้าจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตามหากไปแค่หลัก 3-6 เดือน สิ่งของดังกล่าวก็อาจไม่จำเป็นมากนัก เป็นต้น
คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับน้องๆ ที่เตรียมตัวไปเรียนต่างประเทศนั่นคือการเลือกมหาวิทยาลัยให้เหมาะสม เพราะไม่ใช่แค่เป้าหมายด้านจบการศึกษาเท่านั้น แต่ระหว่างเรียนยังได้สนุกกับการใช้ชีวิต และหลายคนอาจมองเรื่องของต้นทุนที่ต้องใช้ด้วย ถ้าอย่างนั้น ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้ได้เลย
เป้าหมายของการเรียนคือเมื่อจบแล้วต้องมีงานทำ ดังนั้นการเลือกหาข้อมูลอาชีพที่ตนเองวางแผนอยากทำในอนาคต และมีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตในสายงานดังกล่าวจึงเป็นเรื่องสำคัญลำดับแรกที่ควรทำก่อนตัดสินใจเลือกมหาลัย เช่น บางอาชีพมักได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษหากจบมหาลัยที่มีชื่อเสียงด้านนั้นโดยตรง หรือบางมหาลัยมีความโดดเด่นในคณะที่ตนเองสนใจเรียน ซึ่งหมายถึงหากเรียนจบก็มีโอกาสได้งานทันที เป็นต้น
มหาลัยในต่างประเทศมีหลายแห่งที่พร้อมเปิดรับผู้เรียนทุกคน แต่สิ่งแรกที่น้องๆ ควรคิดอยู่เสมอเมื่อต้องเลือกนั่นคือต้องเริ่มจากสิ่งที่ตนเองชอบก่อนภายใต้คำเน้นย้ำว่าต้องชอบในด้านนั้นจริงๆ เช่น การแสดง ศิลปะ บริหารธุรกิจ ประกันภัย นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม โบราณคดี ฯลฯ แล้วค่อยประเมินว่ามีสถาบันใดในต่างประเทศที่โดดเด่นในคณะหรือรายวิชาดังกล่าวก่อนทำการสมัคร และอย่าลืมเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์เข้ามหาลัยให้แน่นๆ จะได้ไม่พลาดในตอนท้ายนั่นเองฃ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเงินถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญของการเลือกมหาวิทยาลัยสำหรับเรียนต่อต่างประเทศ ต้องคำนวณคร่าวๆ ว่าหลักสูตรทั้งหมดใช้เงินเท่าไหร่ บวกกับค่าครองชีพ ขนาดเมืองที่จะอยู่อาศัย การใช้ชีวิตต่างๆ จากนั้นจึงประเมินกับงบที่มีว่าเพียงพอหรือไม่ บางกรณีหากโชคดีมีทุนมหาลัยต่างประเทศ หรือเจอเข้ากับมหาลัยที่มีทุนเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งก็จะช่วย save ค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมากทีเดียว สำหรับนักศึกษาที่จะไปเรียนต่างประเทศก็เป็นเรื่องดีอย่างยิ่งหากได้มีการศึกษาวิธีรับทุนไปเรียนต่างประเทศให้ละเอียด และหาช่องทางเพื่อหาโอกาสในการได้ทุนดังกล่าว
สำหรับคนที่มีโอกาสได้เรียนต่อกับมหาลัยในต่างประเทศทั้งที อย่าพึ่งมองว่าเลือกที่ไหนก็ได้ แต่ต้องประเมินชื่อเสียงกับความน่าเชื่อถือของวุฒิการศึกษาหลังเรียนจบในตลาดแรงงานว่าสามารถนำไปแข่งขันกับคนอื่นได้หรือไม่ เพราะบางมหาวิทยาลัยก็อาจไม่ได้โดดเด่นมากหรือไม่ต่างกับการเรียนในเมืองไทยปกติ ดังนั้นหากคุณตั้งใจอยากไปเรียนต่างประเทศอยู่แล้วก็ให้เลือกสถาบันที่จะช่วยต่อยอดการทำงานในอนาคตได้มากที่สุด โดยสามารถปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านแนะแนวการศึกษาต่อมหาวิทยาลัยในต่างประเทศก็ได้
และที่สำคัญคือใน Top University ของโลก เมื่อลองสืบค้นดูจะรู้ว่า Top University ของโลกอาจไม่รับวุฒิมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของประเทศไทย ดังนั้นจึงควรเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น โดยค้นหาได้จาก Keyword คำว่า International Qualifications for Admission หรือสามารถดูได้ที่ลิงก์นี้: https://uni-of-oxford.custhelp.com/app/answers/list/p/27/c/84 เป็นต้น
ก่อนจะสอบเข้ามหาลัยต่างประเทศเพื่อเรียนต่อ เราต้องมองถึงการใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยว่าตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ตนเองมากแค่ไหน บางเมืองอาจต้องเจอสภาพอากาศหนาวแทบตลอดปี บางเมืองฝนตกชุก ไปจนถึงเรื่องของวิธีการเดินทาง ความปลอดภัย อัตราการเกิดอาชญากรรม หรือลักษณะนิสัยของผู้คน ทุกอย่างต้องมีความเหมาะสมและสร้างความสุขในทุกวันของการใช้ชีวิต
อีกเรื่องที่อยากแนะนำให้กับทุกคนที่สนใจหาวิธีไปเรียนต่างประเทศนั่นคือการสอบเพื่อเตรียมความพร้อม เสมือนเป็นใบเบิกทางที่สามารถนำไปยื่นร่วมกับเอกสารอื่นๆ เพิ่มโอกาสในการเข้าเรียนกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่คาดหวังไว้ ซึ่งการสอบดังกล่าวที่ได้รับความนิยมของเมืองไทยมีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ
1. การสอบ IGCSE
IGCSE หรือ International General Certificate of Secondary Education คือหลักสูตรการเรียนระดับมัธยมปลายของอังกฤษ โดยมีการสอบช่วง Year 10-11 ผู้สอบต้องมีคะแนนผ่านเกณฑ์ไม่ต่ำกว่า 5 รายวิชาบังคับ โดยในเมืองไทยจะเทียบได้กับวุฒิ ม.4 จากนั้นจึงเข้าสู่การเรียนและสอบ A Level หรือ IB Diploma เพื่อเตรียมนำคะแนนยื่นสมัครกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศในอังกฤษต่อไป หรือบางมหาวิทยาลัยที่ยอมรับคะแนน IGCSE ก็สามารถใช้ยื่นเพื่อสมัครเข้าเรียนได้เลย
2. การสอบ A-Level
A-Level คือ หลักสูตรการศึกษาระดับมัธยมปลายของอังกฤษที่ต่อยอดจากการสอบ IGCSE โดยจะเรียนใน Year 12-13 เทียบไดักับการจบวุฒิ ม.6 สามารถเลือกเรียนได้กว่า 50 รายวิชา จาก 5 กลุ่มวิชาใหญ่ เมื่อทำการสอบและได้ผลคะแนนออกมาแล้วก็จะสามารถนำไปใช้ยื่นกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในอังกฤษเพื่อเรียนต่อได้
นอกจากนี้ หากยังไม่มีแนวทางหรือยังไม่มั่นใจว่า ในแต่ละขั้นตอนควรจะเตรียมตัวเรียนต่อต่างประเทศอย่างไร ให้พร้อมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด อาจมองหาตัวช่วยหรือผู้ช่วยคอยให้คำปรึกษาดีๆ ในระหว่างที่เตรียมตัวและกำลังศึกษาในต่างประเทศ ก็จะทำให้ได้รับข้อมูลข่าวสารและปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง ซึ่งไม่ยากอย่างที่คิด ยิ่งปัจจุบันมีการแนะแนวการศึกษาต่อมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะในต่างประเทศ หากมีข้อสงสัย หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมสามารถพูดคุย สอบถามได้ทันที ช่วยเพิ่มการตัดสินใจที่ถูกต้อง
ท้ายสุดนี้ อย่าลืมลองแวะดู EFL Learning Centre ที่มีคอร์สสอนภาษาอังกฤษให้เลือกหลากหลายสำหรับผู้เรียนทุกช่วงวัย หากยังไม่มั่นใจว่าควรจะเลือกคอร์สเรียนภาษาอังกฤษแบบไหนดี เพื่อให้เหมาะกับตัวคุณเองมากที่สุด สามารถติดต่อเราได้ตามช่องทางต่างๆ เพื่อปรึกษาวางแผนการเรียนได้ตลอดเวลา EFL Thailand ยินดีพร้อมให้บริการคุณ
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า