น้อง ๆ คนไหนที่สนใจอยากเรียนมหาวิทยาลัยในหลักสูตรนานาชาติ หรือคณะอินเตอร์ต่าง ๆ จะต้องรู้จักกับการสอบ SAT เพื่อที่จะนำไปใช้เป็นใบเบิกทางในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในฝันได้ในอนาคต วันนี้เราพามารู้จักกับการสอบ SAT กันแบบเจาะลึก ไปดูกันเลย
SAT คืออะไร? รู้จักกับการสอบ SAT สอบแล้วใช้ทำอะไรได้บ้าง?
SAT ย่อมาจาก Scholastic Aptitude Test คือการสอบมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ใช้วัดระดับความถนัดในวิชาต่าง ๆ เพื่อเป็นตัวชี้วัดในการพิจารณาคัดเลือกนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยหลักสูตรนานาชาติ เช่น BBA BE จัดสอบโดยหน่วยงาน College Board ที่จะจัดสอบ 4 ครั้งในหนึ่งปี โดยจะแบ่งเป็นการสอบ SAT (SAT Reasoning Test) และ SAT Subject Test (SAT II) โดยจะแตกต่างกันที่รายวิชาในการสอบ คะแนนสอบ SAT จะมีอายุ 2 ปี โดยนับจากวันที่ประกาศผลคะแนน
รายวิชาในการสอบ SAT
การสอบ SAT จะแบ่งออกเป็น 2 แบบได้แก่ สอบ SAT (SAT Reasoning Test) และ SAT Subject Test (SAT II) โดยมีรายวิชาในการสอบ ดังนี้
SAT (SAT Reasoning Test) สอบ 2 วิชา ได้แก่
1. Evidenced – Based Reading & Writing (เวลาในการทำข้อสอบ 1 ชั่วโมง 40 นาที)
ข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษที่เน้นวัดความสามารถด้านการอ่าน คิด วิเคราะห์ภาษาอังกฤษ และการหา Error โดยมีคะแนนเต็มอยู่ที่ 800 คะแนน มีทั้งหมด 2 ชุด ได้แก่ ข้อสอบ Reading 52 ข้อ และข้อสอบ Writing and Language มีบทความให้อ่าน 4 บทความ รวม 44 ข้อ
2. Mathematics (เวลาในการทำข้อสอบ 1 ชั่วโมง 20 นาที)
ข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์วัดความถนัดวิชาเลข เนื้อหาส่วนใหญ่ครอบคลุมคณิตศาสตร์มัธยมต้น และมีเนื้อหาคณิตศาสตร์มัธยมปลายพอสมควร โดยมีคะแนนเต็มอยู่ที่ 800 คะแนน มีทั้งหมด 2 ชุด ได้แก่ Math Test – No Calculator ทั้งหมด 20 ข้อ แบ่งเป็นปรนัยข้อที่ 1-15 และอัตนัยข้อที่ 16-20 (ส่วนนี้ให้เวลา 25 นาที) โดยไม่สามารถนำเครื่องคิดเลขเข้ามาใช้ได้ และข้อสอบ Math Test – Calculator มีทั้งหมด 38 ข้อ แบ่งเป็นปรนัย ข้อที่ 1-30 และอัตนัยข้อที่ 31-38 สามารถนำเครื่องคิดเลขรุ่นที่ทาง College Board อนุญาตเข้าไปใช้ในการสอบได้
SAT Subject Test (SAT II)
ในประเทศไทยจะเปิดสอบ SAT Subject Test ไม่ครบทุกวิชา ส่วนมากจะเปิดสอบวิชาหลักสายวิทยาศาสตร์ เช่น ชีววิทยา (Biology E/M) ฟิสิกส์ เคมี และ เลข (Math Level 1, 2) คะแนนเต็มของแต่ละวิชา 800 คะแนน เท่ากับการสอบ SAT ทั่วไป เนื่องจากส่วนมากหลักสูตรนานาชาติของไทยจะไม่ได้ใช้คะแนนในส่วนวิชาอื่น ๆ มากนัก แต่นอกจากนี้การสอบ SAT Subject Test ยังมีวิชาอื่น ๆ ให้สอบอีกด้วย เช่น วิชา English Literature, US History, World History, Languages เป็นต้น หากน้อง ๆ สนใจเรียนต่อมหาวิทยาลัยในต่างประเทศอาจต้องตรวจสอบกับทางหลักสูตรให้ดีอีกครั้ง ว่าใช้คะแนนสอบตัวไหนบ้างเพื่อที่จะได้ยื่นคะแนนได้ครบถ้วน
SAT สมัครสอบได้ที่ไหนบ้าง
น้อง ๆ ที่สนใจสมัครสอบ SAT สามารถเข้ามาลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ https://www.collegeboard.org/ จากนั้นสร้าง Account ในการสมัครสอบ เมื่อถึงขั้นตอนเลือก Select Date and Date Center ถ้าสมัครสอบในประเทศไทยให้เลือก Outside the United States จากนั้นกดเลือก Thailand แล้วเลือกสนามสอบที่ต้องการได้เลย
สามารถชำระเงินในการสมัครสอบได้ทั้ง Paypal หรือจะเลือกตัดบัตรเครดิตก็ได้เช่นกัน โดยมีค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบอยู่ที่ ค่าสอบ SAT มีราคาประมาณ 100.50$ หรือประมาณ 3,300 บาทไทย ไม่รวมค่าสมัครล่าช้าประมาณ 29$ หรือประมาณ 986 บาท สำหรับผู้ที่สมัครก่อนวันสอบ 1 เดือนหรือน้อยกว่า เมื่อทำการสมัครสอบเรียบร้อยให้พรินต์ Admission Ticket ออกมาใช้ยื่นสอบพร้อมกับนำบัตรประชาชนติดตัวไปด้วยในวันสอบ
สอบ SAT แล้วใช้ทำอะไรได้บ้าง?
คะแนนสอบ SAT สามารถนำไปยื่นเพื่อเข้ารับการศึกษาหลักสูตรนานาชาติในระดับมหาวิทยาลัยได้ หรือนำไปยื่นคะแนนที่มหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศได้ ทั้งนี้น้อง ๆ ต้องดูคะแนนวิชาที่ใช้ยื่นให้ดี
มาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสอบ SAT กันเถอะ
รู้ว่าต้องสอบ SAT เมื่อไหร่
การสอบ SAT ไม่มีการจำกัดอายุในการเข้าสอบ แต่คะแนนสอบจะมีการหมดอายุภายใน 2 ปี นับจากวันประกาศผลสอบ โดยช่วงที่เหมาะแก่การสอบคือขณะที่น้อง ๆ กำลังศึกษาอยู่ที่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลา 1 ปีก่อนถึงเวลายื่นคะแนนมหาวิทยาลัย
จัดสรรเวลาในการทำข้อสอบให้ดี
เวลาในการสอบของแต่ละวิชาถือว่าให้เวลามาเยอะพอสมควร แต่ก็อาจตกม้าตายได้หากน้อง ๆ จัดสรรเวลาในการทำข้อสอบได้ไม่ดี แนะนำให้น้อง ๆ ลองฝึกทำข้อสอบเสมือนจริงพร้อมกับจับเวลาไปด้วย เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราอาจเสียเวลาไปกับพาร์ทไหน เพื่อที่จะได้ปรับปรุงก่อนถึงเวลาสอบจริง และจะได้ไม่ตื่นเต้นเมื่อสอบจริงด้วย
ฝึกฝนวิชาภาษาอังกฤษ
ข้อสอบ SAT เป็นข้อสอบที่ใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมด แม้ในส่วนของข้อสอบเลขก็ตาม น้อง ๆ จึงจะต้องรู้ศัพท์เฉพาะทางคณิตศาสตร์เพื่อที่จะเอาไว้ใช้ทำข้อสอบให้ได้ทั้งหมด และในส่วนของวิชาภาษาอังกฤษที่วัดระดับภาษารอบด้าน น้อง ๆ จะต้องเป๊ะทั้ง Grammar, Reading, Listening, Vocabulary โดยจะต้องเตรียมอ่านหนังสือสอบตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่จะได้เก็บให้ครบทุกด้าน
การสอบ SAT ไม่ได้ยากอย่างที่น้อง ๆ คิด หากเราเตรียมตัวมาอย่างดี โดยเริ่มเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่วันนี้ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เพราะจำเป็นต้องใช้ทั้งพาร์ทแบบทดสอบภาษาอังกฤษเอง และพาร์ทข้อสอบเลขที่ใช้ข้อสอบภาษาอังกฤษ ค่อย ๆ อ่าน ค่อย ๆ ติวรับรองประสบความสำเร็จในการสอบอย่างแน่นอน
ท้ายสุดนี้ อย่าลืมลองแวะดูคอร์สเรียนเตรียมสอบจากเรา มีคอร์สสอนภาษาอังกฤษให้เลือกหลากหลายสำหรับผู้เรียนทุกช่วงวัย ทุกการเตรียมสอบวัดระดับ หรือศึกษาต่อ หากยังไม่มั่นใจว่าคุณควรจะเลือกคอร์สเรียนภาษาอังกฤษแบบไหนดี เพื่อให้เหมาะกับตัวคุณเองมากที่สุด สามารถติดต่อเราได้ตามช่องทางต่างๆ เพื่อปรึกษาวางแผนการเรียนได้ตลอดเวลา เรายินดีพร้อมให้บริการคุณ